ตัวอย่างที่สมควรเห็นใจกรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด-19

วันก่อนฟังรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คุณอนุทิน ชาญวีรกูร ออกมาให้สัมภาษณ์เชิงตำหนิบุคลากรทางการแพทย์บางคนที่ติดเชื้อโควิด-19 ทำนองว่าไม่รู้จักดูแลรักษาตนเอง แม้ภายหลังท่านจะขอโทษทว่าสิ่งที่พูดกลายเป็นตัวฟ้องว่าท่านไม่เข้าใจงานบริการทางการแพทย์สักเท่าไหร่ ใจคอจะให้แพทย์พยาบาลสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE Personal Protective Equipments) เหมือนนักบินอวกาศตลอดเวลาในโลกคงไม่มีใครเขาทำกัน สมควรที่ท่านต้องทำการบ้านลองศึกษาปัญหาการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์เหล่านั้นชนิดเคสต่อเคสเชื่อว่าท่านจะเข้าใจ และยอมรับว่าไม่มีใครที่ตลอดเวลาตระหนักอยู่เสมอว่าตนเองมีความสำคัญต่อประเทศอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศกำลังประสบปัญหาวิกฤติยิ่งใหญ่ขนาดนี้ยังอยากป่วย

ปัญหาการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่มาจากคนใกล้ตัวแทบทั้งนั้น และคนใกล้ตัวที่เกิดปัญหาติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากคนใกล้ตัวเช่นเดียวกัน เป็นการติดเชื้อที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิด ปัญหาที่เกิดหลายซับหลายซ้อนอย่างนั้น ท่านรองนายกในฐานะผู้บังคับบัญชาหากรับรู้เชื่อว่าท่านที่มีใจนักเลงจะเห็นใจและให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์และกำลังใจจะไม่ตำหนิให้เสียกำลังใจกันอย่างนี้ เสียดายที่ท่านไม่รู้ ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจไม่กล้าเล่า ผมไม่ใช่ลูกน้องท่านขอเป็นผู้เล่าก็แล้วกัน

กรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงที่จะเล่านี้ท่านฟังแล้วน่าจะเอามาทำเป็นอุทาหรณ์สอนพวกเราทุกคน เรื่องมีว่ามีชายกลางคนจากจังหวัดยะลาคนหนึ่งเดินทางไปร่วมงานชุมนุมทางศาสนาที่มาเลเซียเมื่อกลับมายังมีสุขภาพปกติดี แม้ทราบข่าวว่าทางราชการเรียกให้คนที่ไปร่วมงานที่ว่าไปรายงานตัวเพื่อรีบป้องกันการระบาดของโควิด-19 ใครที่เป็นคนชนบทอาศัยอยู่ในภาคใต้ตอนล่างจะเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดชายคนนี้จึงไม่ไปรายงานตัว เขาเก็บตัวเงียบใช้ชีวิตเป็นปกติ ไม่ยอมให้ใครรับรู้ว่าตนเองหายไปไหนหลายวัน แม้แต่ลูกสาวตนเองที่ทำงานเป็นพยาบาลในโรงพยาบาลบันนังสตา ยะลา เป็นผู้ช่วยแพทย์ก็ไม่รู้ ผ่านไปหลายวันแล้วนั่นแหละคุณพ่อของเธอก็ล้มป่วยลงด้วยโรคโควิด-19 ความจึงแตก

ด้วยความตกใจในสิ่งที่ไม่คาดคิด เธอนอกจากจะพาคุณพ่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เธอขอรับการตรวจพร้อมกันไปด้วยจึงพบว่าเธอเองติดเชื้อโควิด-19 จากพ่อเข้าแล้ว ทั้งนำเชื้อไปติดแพทย์หัวหน้างานเข้าด้วย การสอบสวนโรคเป็นขั้นลงไปตามมาตรฐาน PUI (Patient Under Investigation) ปรากฏว่ามีแพทย์รวม 6 คน พยาบาลอีกนับสิบคนที่ถูกกำหนดให้ต้องกักกันตนเอง (self quarantine) นาน 14 วัน สุดท้ายบุคลากรทางการแพทย์แทบทั้งโรงพยาบาลอยู่ในข่ายเสี่ยงต่อการติดเชื้อตั้งแต่เสี่ยงที่สุด เสี่ยงปานกลางไปจนถึงเสี่ยงน้อย ทั้งโรงพยาบาลเหลือผู้ปฏิบัติงานไม่กี่คน กระทั่งทางจังหวัดต้องมีคำสั่งปิดโรงพยาบาลบันนังสตาเป็นการชั่วคราว

หากท่านรองนายกได้เห็นภาพแพทย์พยาบาลร้องห่มร้องไห้ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวแต่เพราะเสียใจที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและผิดหวัง เห็นภาพเหล่านั้นร่วมไปกับภาพประชาชนที่ช็อกกันทั้งอำเภอแล้วท่านจะเข้าใจ ฟังเรื่องราวเช่นนี้ ผมไม่โทษพ่อของคุณพยาบาล ไม่โกรธคุณพยาบาล รวมทั้งแพทย์และพยาบาล ไม่โทษใครทั้งสิ้น ในโลกของความเป็นจริง หนึ่งปัญหาเชื่อมโยงไปอีกหลายสิบปัญหาที่พวกเราต้องช่วยกันแก้ไข ใครจะไปรู้ สู้กับปัญหาโควิด-19 ปัญหาเดียว อาจทำให้เราเริ่มเข้าใจอีกสิบปัญหากระทั่งกลายเป็นจุดคานงัด (Fulcrum) ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดก็ได้ หากเป็นอย่างนั้น คุณอนุทินอาจต้องขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อโควิด-19 ใครจะไปรู้ ในอิสลามสอนว่าในทุกการทดสอบ (บะลาอฺ) มีความจำเริญ (บะรอกะฮฺ) สุภาษิตจีนสอนเช่นกันว่าในวิกฤติ (เหว่ยจี) มีโอกาส (จีฮุ่ย) คำสอนจากสองอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่นี้เห็นทีจะเป็นความจริง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *