ไม่อยากอ้วนลงพุงต้องไม่ทิ้งอาหารเช้า

หลายปีมานี้ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับเรื่อง “โรคอ้วนลงพุง” เป็นพิเศษ โรคนี้ในตำราทางการแพทย์ไม่เคยปรากฏ ทางกรมอนามัยตั้งขึ้นมาเอง ในทางการแพทย์มีแต่ “โรคเมแทบอลิก” (Metabolic disease) เรียกชื่อนี้ทางกรมอนามัยเกรงว่าคนไทยจะไม่เข้าใจ จึงเปลี่ยนเป็นชื่อโรคอ้วนลงพุง ส่วนใครจะเรียกว่าโรคพุงใหญ่คงยอมรับกันได้ไม่มีใครว่าอะไรโรคอ้วนลงพุงหรือโรคเมแทบอลิกหมายถึงโรคที่มีความผิดปกติของเมแทบอลิซึมในร่างกายนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอื่นๆตามมาคือโรคหัวใจและหลอดเลือดและเบาหวาน ซึ่งคนไทยเป็นกันมาก สิ่งบ่งชี้ว่าเป็นโรคเมแทบอลิก ได้แก่ เอวใหญ่หรือพุงใหญ่หากเป็นผู้ชายไทยคือมีพุงใหญ่หรือเส้นรอบเอวเกิน 36 นิ้ว ส่วนหญิงมีเส้นรอบเอวเกิน 32 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีปัญหาร่วมอีกสองอย่าง ได้แก่ ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดเกิน 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เอชดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรสำหรับชายหรือ 40 สำหรับหญิง น้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือมีความดันโลหิตสูงเกิน 120/80 มิลลิเมตรปรอทวิธีป้องกันคือหากพุงใหญ่จำเป็นจะต้องหาทางลดพุง กรณีพารามิเตอร์ในเลือดมีปัญหาจำเป็นต้องหาทางแก้ไข ซึ่งมีอยู่หลายวิธีทั้งเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย มีรายงานวิจัยน่าสนใจจากมหาวิทยาลัย Umea ประเทศสวีเดน นำโดย Maria Wennberg ตีพิมพ์ในวารสาร Public Health Nutrition ค.ศ.2014 พบว่าคนเมื่อครั้งยังเด็กมีปัญหาเรื่องการกินอาหารเช้าทั้งไม่กินเลยหรือกินน้อยจะเสี่ยงที่การเกิดโรคอ้วนลงพุงมากขึ้นถึง 68% เมื่อเทียบกับเด็กที่กินอาหารเช้า ดังนั้น จำเป็นต้องคอยระวังเรื่องอาหารเช้าตั้งแต่ครั้งยังเด็กเหตุที่การงดเว้นอาหารเช้าสร้างปัญหาอ้วนลงพุง เนื่องจากการไม่กินอาหารเช้า ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ เมื่อไม่กินอาหารเช้า ส่งผลให้ร่างกายสร้างสัญชาติญาณผิดทำนองว่ากำลังขาดอาหาร กลไกของอินสุลินจะเปลี่ยนเป็นนำพลังงานที่ร่างกายสร้างจากอาหารมื้ออื่นไปเก็บสะสมไว้ในรูปไขมันตามพุง อันเป็นกลไกการป้องกันร่างกาย อาหารเช้าจึงสำคัญที่สุด จำเป็น #ต้องใส่ใจอาหารเช้า แนะนำกันไว้อย่างนั้น #drwinaidahlan, #ดรวินัยดะห์ลัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *