เมจิกจอห์นสันใช้สุขภาพ ยาและศรัทธาต่อสู้นานสามทศวรรษกับโรคเอดส์

หากจะบอกว่าผมเป็นคนไทยกลุ่มแรกๆที่ทำงานด้านโรคเอดส์อาจไม่มีใครเชื่อ ผู้ป่วยเอดส์ถูกรายงานการค้นพบครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ค.ศ.1981 สร้างความตื่นกลัวขนาดหนักทำนองว่าเป็นใครเป็นโรคนี้แล้วไม่มีทางรักษาหาย ต้องตายสถานเดียว สามปีหลังจากนั้นคือใน ค.ศ.1984 ผู้ป่วยเอดส์คนแรกมาปรากฏตัวที่ประเทศไทย เป็นคนไทยที่กลับมาจากสหรัฐอเมริกา เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เพียงแต่ไม่มีการประกาศออกมาเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้นเพื่อป้องกันการแตกตื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักท่องเที่ยว

คนไทยกลุ่มแรกที่สัมผัสผู้ป่วยเอดส์จึงเป็นแพทย์พยาบาลที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ปีรุ่งขึ้นคือ ค.ศ.1985 นั่นแหละที่ผมเริ่มทำงานกับผู้ป่วยโรคเอดส์แต่ไม่ใช่ในเมืองไทยเป็นที่โรงพยาบาล St-Pierre กรุงบรัสเซลส์โน่น โดยผมได้รับมอบหมายให้นำเลือดของผู้ป่วยเอดส์มาทำการวิเคราะห์สภาวะกรดไขมันบนผนังเซลล์เลือด ทำงานนี้อยู่ระยะหนึ่งได้สัมผัสบรรยากาศใหม่คือเพื่อนที่เคยฮาเฮอยู่ด้วยกันพากันหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ตัวผมนั่นเป็นข้อเสีย ส่วนข้อดีคือได้รับรู้ว่าเอดส์ไม่ใช่โรคที่ติดต่อกันง่ายๆอย่างที่ใครต่อใครเข้าใจผิดกันในระยะแรก

ผมทำงานกับผู้ป่วยโรคเอดส์ไม่นานนัก จากนั้นจึงหยุดโครงการหันไปทำเรื่องอื่น กลับมากรุงเทพฯกระทั่งย้ายมาทำงานที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประมาณ ค.ศ.1998 หรือ พ.ศ.2541 คุณประเสริฐ มัสซารี ประธานมูลนิธิสันติชนเชิญผมไปเป็นวิทยากรโรคเอดส์ให้กับมูลนิธิ ผมนำประสบการณ์เรื่องโรคเอดส์ไม่ติดต่อกันง่ายๆไปบรรยายที่มูลนิธิสันติชน ผู้ฟังหลายคนคือผู้ป่วยโรคเอดส์ บางคนขึ้นมาสวมกอดผมแล้วร้องไห้ ผู้ป่วยเอดส์เวลานั้นมีชีวิตเหมือนตายไปแล้ว ผู้คนหรือแม้แต่ญาติพากันหลีกหนึ ช่วงนั้นทุกเช้าก่อนแปดนาฬิกา ผมเปิดสายโทรศัพท์รับปรึกษาปัญหาชีวิตของผู้ป่วยโรคเอดส์ ทำงานด้านนี้อยู่สักระยะหนึ่งแล้วจึงไปทำเรื่องอื่น

เขียนเรื่องโรคเอดส์เพื่อจะเล่าให้ฟังถึงผู้ป่วยคนหนึ่งประกาศว่าตนเองเป็นโรคเอดส์เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 1991 ถึงวันนี้ผ่านมากว่า 28 ปี ยังมีชีวิตอยู่เป็นปกติทั้งๆที่คาดกันว่าน่าจะเสียชีวิตในเวลาไม่เกินสองปี ผู้ป่วยคนนี้ชื่อเออร์วิน จอห์นสัน หรือเมจิกจอห์นสัน (Magic Johnson) นักบาสเกตบอลผิวดำที่มีชื่อเสียงก้องโลกชาวอเมริกัน สิ่งที่ทำให้เมจิกจอห์นสันรอดจากเอดส์มาได้มีหลายปัจจัย สิ่งแรกคือเทคโนโลยีด้านยา จอห์นสันเข้าโปรแกรมที่เรียกว่า HARRT ที่ใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีสามสี่ตัวผสมผสานกันเรียกว่าค็อกเทลยา

อีกสองปัจจัยที่วงการแพทย์ยอมรับว่าอาจสำคัญกว่าการใช้ยาคือความแข็งแรงทางร่างกายกับอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งคือความศรัทธาในพระเจ้าของตัวจอห์นสันเอง เรื่องหลังนี้คนที่ไม่เคยสัมผัสอาจไม่เชื่อ มาวันนี้วงการแพทย์ยอมรับว่าความศรัทธาและการทำงานให้ศาสนาสร้างพลังใจให้จอห์นสันรู้จักรักตนเอง ศรัทธาต่อการมีชีวิต อีกทั้งความศรัทธาช่วยให้เข้าถึงแก่นของศาสนา สิ่งเหล่านี้มีผลอย่างมากต่อการรักษา ซึ่งเมจิกจอห์นสันได้แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่รอดมาได้นานขนาดนี้ #drwinaidahlan#ดรวินัยดะห์ลัน#โรคเอดส์#เมจิกจอห์นสัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *