แนะนำกันอยู่บ่อยว่าหากอยากลดความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน หรืออ้วน หรือแม้กระทั่งโรคหัวใจและหลอดเลือดสมควรออกกำลังกายเบาๆ เช่น วิ่งเหยาะๆ (Jogging) ให้ได้ 20-30 นาที สัปดาห์ละสามครั้ง เกิดคำถามว่าหากวิ่งไม่ไหวขอต่อรองเป็นเดินเร็ว (Brisk walking) จะให้ผลเหมือนกันไหม อายุมากเข้าจะให้วิ่งเห็นทีจะไม่ไหว เรื่องนี้พูดกันมานาน อันที่จริงการวิ่งกับการเดินให้ผลพอๆกัน เพราะจะวิ่งหรือเดิน มัดกล้ามเนื้อที่ใช้มันล้วนเป็นมัดเดียวกัน เพียงแต่การวิ่งจะใช้พลังงานที่เข้มข้นกว่า หากสุดท้ายทำให้การเดินเร็วกับวิ่งเหยาะใช้พลังงานเท่าๆกัน ผลต่อสุขภาพย่อมไม่ต่างกัน แต่จะตอบให้ดูดีสมควรมีงานวิจัยรองรับรายงานวิจัยทางการแพทย์ตีพิมพ์ในวารสาร Arteriosclerosis, Thrombosis and Vascular Biology ค.ศ.2013 โดย ดร.พอล วิลเลียมส์ (Paul T. Williams) และคณะ ทำการศึกษานักวิ่ง 33,000 คนกับนักเดินเพื่อสุขภาพจำนวน 15,045 คน ติดตามศึกษานานหกปี พบว่าหากทั้งสองกลุ่มใช้พลังงานเท่าๆกัน โดยการเดินจะใช้เวลามากกว่า สิ่งที่พบคือประโยชน์ต่อสุขภาพไม่ต่างกันเลย เมื่อใช้พลังงานเท่าๆกัน การวิ่งจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาความดันโลหิตสูง 4.2% ขณะที่การเดินลดได้ 7.2% การวิ่งช่วยลดความเสี่ยงคอเลสเตอรอลในเลือดสูง 4.3% การเดินลดได้ 7% การวิ่งลดความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน 12.1% ส่วนการเดินลดความเสี่ยงได้ 12.3% ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 4.3% ขณะที่การเดินช่วยได้ 9.3%ดูตัวเลขแล้วเห็นว่าการเดินให้ประโยชน์มากกว่า เพียงแต่เมื่อคำนวณออกมาทางสถิติพบว่าไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ การเดินอาจให้ข้อมูลที่ดูดีกว่าแต่เมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่าช่วยได้ดีพอๆกัน ใครที่สุขภาพแข็งแรงหน่อยแนะนำให้วิ่งเหยาะๆ หากอายุขัยมากแล้วก็ใช้วิธีการเดินเร็ว โดยการเดินขอให้ใช้เวลาที่นานกว่าการวิ่งเท่านั้น นานกว่ากัน 30-50% ก็น่าจะพอ #drwinaidahlan, #ดรวินัยดะห์ลัน, #การเดินเร็วกับวิ่งเหยาะ