มุฮัมมัดที่ 12 สุลตานองค์สุดท้ายของราชวงศ์นาสริดและอาณาจักรอันดาลุสมีพระนามเดิมว่าอะบู อับดัลลาฮฺ มุฮัมมัด ชาวยุโรปนิยมเรียกขานว่า “โบอับดิล” (Boabdil) ทรงเป็นราชโอรสของสุลตานอะบูที่ 1 หะซัน อาลี ประสูติใน ค.ศ.1460 ขึ้นเป็นสุลตานใน ค.ศ.1482 เมื่อพระชนมายุ 22 ชันษา เพื่อแทนพระบิดาที่ถูกมรสุมทางการเมือง อยู่ในตำแหน่งเพียงปีเดียวถูกทัพคาสติลจับตัวได้ระหว่างการทำศึกครั้งหนึ่ง ก่อนถูกปล่อยใน ค.ศ.1486 จึงกลับขึ้นครองราชย์อีกครั้งใน ค.ศ.1487 กระทั่งถูกบังคับให้สละบัลลังก์ ค.ศ.1492 เมื่อพ่ายแพ้ต่อทัพรีคองกิสตาโดยลี้ภัยไปยังดินแดนมัฆริบก่อนสิ้นพระชนม์ที่เมืองเฟซใน ค.ศ.1533ความที่ถูกจับเป็นตัวประกันนานเกือบสามปี เมื่อกลับขึ้นครองราชย์แม้สามารถปกป้องกรานาดาอีกนานถึง 5 ปี ความที่อาณาจักรสูญเสียเมืองสำคัญหลายเมืองกระทั่งเหลือเฉพาะกรานาดาเท่านั้น จึงปรากฏเป็นข่าวลือในลักษณะหลู่พระเกียรติว่าทรงทำข้อตกลงกับคาสติลไว้ ร่วมกับข้อกล่าวหาที่ว่าทรงอ่อนแอ รวมถึงการกรรแสง (ร้องไห้) เมื่อต้องจากพระราชวังอัลฮัมบรา ไม่ต่างจากเรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาสักเท่าไหร่ อันไม่เป็นธรรมต่อกษัตริย์ทั้งสองพระองค์นักหลังจากกรานาดาตกเป็นของทัพรีคองกิสตาใน ค.ศ.1492 สิ่งแรกที่เกิดขึ้นและไม่เป็นไปตามข้อตกลงคือมัสยิดทุกแห่งถูกเปลี่ยนเป็นโบสถ์ มุสลิมที่เหลืออยู่ในไอบีเรียซึ่งมีไม่น้อยกว่า 600,000 คน และยิวหลายหมื่นถูกบังคับให้เข้ารีตเป็นคริสต์คาธอลิก จึงต้องอพยพหลายครั้ง โดยมุสลิมส่วนใหญ่ไปยังอัฟริกาเหนือ ส่วนยิวไปทางยุโรป ในเวลานั้นอาณาจักรอุสมานียะฮฺนำเรือมาขนมุสลิมและยิวที่ประสงค์ไปตั้งรกรากยังคอนสแตนติโนเปิลและอะนาโตเลีย ส่วนชนคริสต์ใหม่ที่ยังอยู่ในไอบีเรียส่วนที่มาจากชาวอันดาลุสเข้ารีตไม่ว่ามีเชื้อสายอะไร เมื่อเดิมเป็นมุสลิมถูกเรียกขานใหม่ว่า “โมริสโค” (Moriscos) หากเดิมเป็นยิวถูกเรียกขานว่า “มาร์ราโน” (Marranos) ล้วนมีชะตากรรมที่ขมขื่นอย่างยิ่งหลังจากนั้น จำนวนมากแม้เข้ารีตแล้วกลับไม่ยอมเปลี่ยนศรัทธาการบังคับเข้ารีตและการก่อกบฏเกิดขึ้นหลายครั้ง ใน ค.ศ.1526 มีประกาศออกมาว่ามุสลิมและยิวที่ยังไม่เข้ารีตหากไม่ออกจากอาณาจักรจะถูกสังหารทั้งหมด ถึงกระนั้นความไม่สงบยังคงอยู่ ใน ค.ศ.1570 ทั้งโมริสโคและมาร์ราโนที่อาศัยอยู่ในกรานาดาจำนวน 80,000 ถูกบังคับให้ไปตั้งรกรากยังเมืองอื่น การก่อจลาจลและกบฏทั่วทั้งไอบีเรียยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบ จำนวนไม่น้อยแอบจัดตั้งมัสยิด ขณะที่ส่วนใหญ่แอบปฏิบัติศาสนกิจในบ้านโดยมีคำตัดสินที่เรียกว่า “โอรานฟัตวา” (Oran fatwa) ออกมาจากฝ่ายศาสนาอิสลามใน ค.ศ.1504 ว่าแม้เปลี่ยนศาสนาทว่าความเป็นมุสลิมยังคงอยู่ ความวุ่นวายเกิดขึ้นจนถึง ค.ศ.1609 โมริสโคและมาร์ราโนจึงถูกขับครั้งใหญ่ออกจากไอบีเรียกระทั่งไม่มีเหลือ กระทั่งถึง ค.ศ.1614 สถานการณ์จึงค่อยๆสงบลง เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องยาวนานถึง 122 ปีที่มุสลิมและยิวในนามโมริสโคและมาร์ราโนร่วมกันต่อสู้ มีผู้เสียชีวิตมากมาย กลายเป็นตราบาปในประวัติศาสตร์อันขมขื่นของทั้งสเปนและปอร์ตุเกสที่ดำรงอยู่จนทุกวันนี้ #drwinaidahlan, #ดรวินัยดะห์ลัน, #มุสลิมสเปน