อาณาจักรมุสลิมสเปนภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์อุมัยยะฮฺใน ค.ศ.1031 ได้แตกเป็นไทฟาหรือรัฐอิสระมากกว่า 20 แห่ง ในเชิงพฤตินัย อาณาจักรล่มสลายลงแล้ว รอเพียงวันเวลาที่พื้นที่ทั้งหมดตกเป็นของอาณาจักรคริสเตียนที่กล้าแข็งขึ้นมากเท่านั้น ทว่าการสอดมือเข้ามาของอัลโมราวิดจากอัฟริกาเหนือใน ค.ศ.1090 นั่นเองที่ต่อลมหายใจให้อันดาลุสยืนยาวไปได้อีกกว่าสี่ศตวรรษ การศึกษาเรื่องราวของอันดาลุสจึงควรสนใจความเป็นมาของอัลโมราวิดและอัลโมฮัดในอัฟริกาเหนือพร้อมกันไปด้วยจึงจะได้เนื้อหาสมบูรณ์ในช่วงทศวรรษที่ 1040 ทางพื้นที่แถบทะเลทรายซาฮาราด้านใต้ของโมรอคโค มีสองสหายที่ต่างเป็นนักวิชาการศาสนาอิสลาม คนหนึ่งชื่อ ยะฮฺยา อิบนฺ อิบราฮิม (Yahya ibn Ibrahim) อีกคนคือ อับดุลเลาะฮฺ อิบนฺ ยาซีน (Abdallah ibn Yasin) ทั้งคู่ขวนขวายที่จะทำงานเผยแผ่อิสลามในพื้นที่อัฟริกาตะวันตก ได้แก่ มอริทาเนีย เซเนกัล แกมเบีย มาลี เหตุนี้ ยะฮฺยาจึงเดินทางไปแสวงบุญและศึกษายังมักกะฮฺในอาระเบีย เมื่อกลับมาแล้วปรึกษากับอับดุลเลาะฮฺ ได้ข้อสรุปว่าสมควรเริ่มต้นในดินแดนซาฮาราของตนเองก่อนลงไปเผยแผ่ทางตอนล่างเนื่องจากอิสลามในพื้นที่ยังมีความไม่บริสุทธิ์ทางความเชื่อ (บิดอะฮฺ) ปนเปื้อนอยู่มากสองสหายนอกจากเป็นนักวิชาการศาสนาแล้วยังเชี่ยวชาญด้านอาวุธ เป็นนักรบที่หาญกล้าทั้งสองคน การเผยแผ่อิสลามในพื้นที่อัฟริกาตะวันตกในชนเบอร์เบอร์กลุ่มซานฮาจาของทั้งคู่ใช้ชื่อกลุ่มว่า อัลมุรอบิฏุน หรือ อัลโมราวิด ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จึงเดินหน้าต่อไปยังพื้นที่อัฟริกาตอนกลางถึงเซเนกัลและมาลี สร้างแนวร่วมมีเด็กหนุ่มจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเบอร์เบอร์ผิวดำ อาสาเข้าร่วมเป็นกองกำลังที่กล้าแข็ง พลังทางศาสนาแปลงเป็นกองกำลังทางทหารก่อนแปรเปลี่ยนเป็นพลังทางการเมืองไปในที่สุด ถึง ค.ศ.1055 อัลโมราวิดสร้างศูนย์กลางอำนาจขึ้นได้ที่เมืองอูดาโกสต์ (Aoudaghost) ของมอริทาเนีย ปีต่อมาทางกลุ่มสูญเสียยะฮฺยาในการสู้รบ อับดุลเลาะฮฺจึงแต่งตั้ง อบูบักรฺ อิบนฺอุมัร (Abu-Bakr Ibn-Umar) น้องชายของยะฮฺยาขึ้นดำรงตำแหน่งแทน กลุ่มที่ต่อต้านอัลโมราวิดรวมกำลังกันทางตอนกลางของโมรอคโค อัลโมราวิดจึงยกพลขึ้นเทือกเขาแอตลาส (Atlas mountain) ทางตอนเหนือของโมรอคโคเพื่อสะสมกำลัง ช่วงเวลานี้เองที่ทางกลุ่มสูญเสียอับดุลเลาะฮฺไปอีกคนหนึ่ง อบูบักรจึงก้าวขึ้นเป็นผู้นำเต็มตัว ทำศึกกับกลุ่มต่อต้านจนได้ชัยชนะ ได้ไซหนับซึ่งเป็นภรรยาหม้ายของหัวหน้ากลุ่มต่อต้านเป็นภรรยา ไซหนับซึ่งเป็นเศรษฐีนีผู้นี้เองกลายเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์อัลโมราวิดเกิดขึ้นได้ในเวลาต่อมาความสัมพันธ์ของชนชั้นนำในอัลโมราวิดเป็นไปอย่างซับซ้อน ใน ค.ศ.1059 อบูบักรแต่งตั้งยูซุฟ อิบนฺ ตัชฟิน (Yusuf ibn Tashfin) ญาติของตนขึ้นเป็นผู้นำร่วม จากนั้นจึงหย่าภรรยาคือไซหนับเพื่อยกให้กับยูซุฟซึ่งมีความสามารถด้านการรบสูง อัลโมราวิดแปลงสภาพจากกลุ่มเกิดเป็นราชวงศ์ด้วยฝีมือของยูซุฟผู้นี้นี่เอง #drwinaidahlan, #ดรวินัยดะห์ลัน, #มุสลิมสเปน