การยึดเยรูซาเล็มคืนใน ค.ศ.1187 นี่เองที่ทำให้สำนักวาติกันประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์กับมุสลิมเกิดเป็นสงครามครูเสดครั้งที่สามอย่างเป็นทางการ ซึ่งกองทัพครูเสดจำนวนมหาศาลรวบรวมได้จากสามอาณาจักรในยุโรปนำทัพโดยพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ได้ยาตราทัพเข้ามาตีเยรูซาเล็ม เกิดตำนานขึ้นมากมายในสงครามครั้งนั้น แต่นักประวัติศาสตร์หลายสำนักเชื่อว่ากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ไม่เคยรบกันชนิดตัวต่อตัว อีกทั้งเรื่องที่ว่าแค่ได้ยินสุรเสียงของพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ กองทัพซอลาฮุดดินก็วิ่งกันป่าราบเป็นเพียงตำนานปลอบใจชาวยุโรปเท่านั้น ท้ายที่สุดกองทัพในส่วนของพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ก็ถอยกลับเกาะอังกฤษเพียงแต่ไม่เคยไปถึงอังกฤษเท่านั้น การถอยทัพเป็นเพราะได้ข่าวความขัดแย้งระหว่างเจ้าชายจอห์นพระอนุชากับโรบินฮู้ดหรือไม่นั้นไม่มีใครทราบ แต่สุดท้ายเยรูซาเล็มก็ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของซอลาฮุดดิน ชาวเมืองไม่ว่าคริสต์ มุสลิม ยิวหรืออาร์เมเนียนสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสันติ
ตลอดรัชสมัยของสุลต่านซอลาฮุดดิน เชลยศึกได้รับการปฏิบัติอย่างดี ไม่มีการขายเป็นทาส ประชาชนทุกศาสนาได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกัน ซอลาฮุดดินทำสงครามจิฮัดกับนักรบครูเสดโดยไม่เคยแสดงอาการรังเกียจชาวคริสเตียนที่อาศัยในเมืองหรือแม้กระทั่งทำร้ายนักรบครูเสดที่ยอมจำนนเลย ระหว่างสงครามทรงนำน้ำไปให้นักรบครูเสดอยู่บ่อยครั้ง น่าเสียดายที่พระองค์สิ้นพระชนม์ใน ค.ศ.1193 พระชนมายุได้ 56 ปีเท่านั้น
แต่ก่อนคนเรายังโง่ คนยุคก่อนจึงทำสงครามศาสนากันเอาเป็นเอาตาย มาถึงวันนี้แม้วันเวลาผ่านไปถึง 8 ศตวรรษ คนยุคใหม่ก็ยังไม่ฉลาดขึ้น ความเกลียดชังยิ่งหนักไปกว่าเก่าโดยครั้งนี้เป็นความเกลียดชังระหว่างมุสลิมด้วยกันคือสุนหนี่กับชีอะฮฺ ทั้งสองฝ่ายปล่อยปละให้โลกตะวันตกที่ยิ่งฉลาดล้ำลึกขึ้นมีพลังอำนาจมากขึ้นยุยงให้ทำสงครามระหว่างกัน สงครามเวลานี้ยังไม่เกิด ทั้งสองฝ่ายยังเพียงรำกระบี่ใส่กัน เป็นแค่ Phony war คิดจะหยุดสงครามก็ทำได้โดยให้ทั้งสองฝ่ายย้อนรอยกลับไปศึกษาเรื่องราวความสำเร็จของซอลาฮุดดินในอดีต 800 ปีมาแล้ว หากได้ศึกษาบ้างก็คงดี