จาการ์ตาเมื่อกว่ายี่สิบปีมาแล้วยากจนค่นแค้นกว่าปัจจุบันมาก รถราติดสาหัส ถนนหนทางเสื่อมโทรม ยิ่งหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง อินโดนีเซียออกอาการหนักกว่าประเทศไทยซึ่งเป็นต้นตำรับเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังฟื้นที่หลังประเทศไทย ทว่าอินโดนีเซียได้อานิสงค์จากการเมืองที่เริ่มมั่นคง ขณะที่ประเทศไทยติดกับดักทางการเมืองยุคเสื้อหลากสี จีดีพีของอินโดนีเซียที่เคยห่างจากประเทศไทยสามเท่าเริ่มขยับเข้าใกล้ไทยมากขึ้น กระทั่งถึง ค.ศ.2016 อินโดนีเซียกลายเป็นชาติแรกในอาเซียนที่มีจีดีพีเกินล้านล้านเหรียญสหรัฐ กระทั่งคาดการณ์กันว่าจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในอนาคตอันไม่ไกลนี้
ผมเดินทางมาอินโดนีเซียบ่อย แวะเวียนหลายเมืองหลายเกาะ เห็นการเปลี่ยนแปลงของอินโดนีเซียมาตลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาการ์ตา มหานครแห่งนี้ขนาดพื้นที่เล็กกว่ากรุงเทพฯ ทว่ามีประชากรมากกว่า หากนับพื้นที่โดยรอบด้วยแล้วมีประชากรนับได้ถึง 30 ล้านคน มาจาการ์ตาครั้งนี้ผมเห็นทางเทศบาลมหานครกำลังแต่งหน้าแต่งตาจาการ์ตาเป็นการใหญ่ ทั้งเรื่องการปลูกต้นไม้ การซ่อมแซมถนนหนทาง การทาสีลบร่องรอยบรรดากราฟีตีที่เคยระบายกันเละเทะเต็มเมือง
ผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาคงเรียนรู้มาจากอดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์คว่าการปล่อยปละความไร้ระเบียบเล็กๆน้อยๆจะนำพามาซึ่งปัญหาใหญ่รวมทั้งปัญหาอาชญากรรม เป็นไปตามทฤษฎีกระจกแตกของอาจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด การทาสีซ่อมแซมเมืองจึงพบได้ทั่วไป
ข้อที่น่าสังเกตของจาการ์ตาคือแม้มีมอเตอร์ไซด์เต็มไปหมดเหมือนกรุงเทพฯแต่ไม่เคยเห็นมอเตอร์ไซด์ย้อนศร วิ่งสวนเลนเช่นในกรุงเทพฯ เป็นเพราะรักกรุงเทพฯจึงบ่นเรื่องนี้บ่อยขออภัยก็แล้วกันครับ