ชื่นมื่นระหว่างผู้นำสองศาสนาของโลก พุทธ-อิสลาม

วานนี้ศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 ดร.มุฮัมมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซา เลขาธิการองค์การสันนิบาตมุสลิมโลก (World Muslim League) หรือเรียกกันในคำย่อภาษาอาหรับว่า “รอบีเฏาะฮฺ” เดินทางไปที่มูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย คลองตัน เพื่อร่วมละหมาดวันศุกร์และเยี่ยมเยียนสถานที่ที่เรียกกันว่าศูนย์กลางอิสลามหรือ Islamic Center ท่านได้ปาฐกถาสั้นๆในมัสยิด ข้อความกินใจอยากจะนำมาเล่าให้ฟังเลขาธิการรอบีเฏาะฮฺนับเป็นบุคคลระดับสูงคนแรกของซาอุดีอาระเบียและมุสลิมโลกที่เดินทางมายังประเทศไทยในรอบหลายสิบปี หลายคนเข้าใจว่าท่านดำรงตำแหน่งในระดับนายกรัฐมนตรีซึ่งไม่ถูกต้องนัก รอบีเฏาะฮฺเป็นองค์กรด้านศาสนาอิสลามไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองและเศรษฐกิจ ความสำคัญของท่านเลขาธิการจึงสูงกว่านั้นนั่นคือสำคัญในระดับสมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากท่านเป็นนักวิชาการศาสนาอิสลามที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในซาอุดีอาระเบียนั่นคือเลขาธิการสันนิบาตมุสลิมโลกซึ่งเทียบเท่าผู้นำทางศาสนาของโลกอิสลาม ในปาฐกถาของท่านที่มัสยิดศูนย์กลางอิสลาม ซึ่งถอดความโดยคุณไสว อัตถการบัญชา จากกระทรวงการต่างประเทศ ท่านเลขาธิการรอบีเฏาะฮฺกล่าวว่าสองสามวันมานี้ท่านมีโอกาสพบปะบุคคลระดับสูงของประเทศไทย ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ที่น่าประทับใจที่สุดคือเมื่อวันพุธที่ผ่านมาท่านมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช หากกล่าวว่าครั้งนั้นคือการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างสองผู้นำทางศาสนาสำคัญของโลกคือพุทธและอิสลามก็คงไม่ผิดท่านเลขาธิการกล่าวว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงกล่าวถึงความเป็นพี่น้องระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมในประเทศไทยซึ่งดำรงมาอย่างยาวนานนับจากอดีตหลายร้อยปี ท่านเลขาจึงกล่าวเสริมว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยดำรงอยู่อย่างสันติสุขในสายตาของนานาประเทศคือความศรัทธาในศาสนาของคนไทย ความแตกต่างทางศาสนาไม่เคยเป็นอุปสรรคเนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างเน้นในความสงบสันติ ในอิสลามเอง พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้รู้จักกัน ได้สรรสร้างประโยชน์ให้แก่กัน ต่างสงวนสิ่งที่เป็นจุดต่างนำมาใช้เฉพาะจุดที่ร่วมกันเท่านั้นท่านเลขาธิการกล่าวเสริมอีกว่ารัฐธรรมนูญของประเทศไทยมีส่วนอย่างสำคัญ โดยองค์ประกอบต่างๆตามรัฐธรรมนูญได้ทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิประโยชน์ต่างๆของทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่างทางศาสนา และความเชื่อ ด้วยเหตุนี้มุสลิมในประเทศไทยจึงสมควรภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในสังคมแห่งนี้ ท่านปิดท้ายว่าหลักการอิสลามนั้นให้ยึดมั่นในทางสายกลางเช่นเดียวกับพุทธนั่นคือไม่สุดโต่งในความศรัทธาและการแสดงความคิดเห็นรวมถึงการกระทำ ต้องให้ความเคารพในความแตกต่างของกันและกัน นี่คือสิ่งประเสริฐที่ทั้งสองศาสนาได้วางเป็นแนวทางและสอนสั่งไว้ #drwinaidahlan, #ดรวินัยดะห์ลัน, #สันนิบาตมุสลิมโลกขอบคุณภาพจาก white channel

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *