ช่วงทศวรรษที่ 1980 ผมทำงานไปเรียนไปในเบลเยี่ยมนานกว่าห้าปี ติดอกติดใจกระทั่งเตรียมใช้ชีวิตที่นั่น มหาลัยในเบลเยี่ยมและสหรัฐอเมริกาอย่างน้อยสองแห่งเสนองานให้ผม บังเอิญเจอหมอศัลย์ชาวญี่ปุ่นชื่อฮิโรชิ ซูซูกิ แวะมาบรัสเซลส์ เวลานั้นเป็นกลาง ค.ศ.1989 เราคุยกันซีเรียสที่กรองปลาซ จัตุรัสใหญ่ของบรัสเซลส์เมืองหลวงของเบลเยี่ยมหมอซูซูกิบอกผมว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเหลือแต่ซาก กลายเป็นชาติยากจน ผู้คนหมดศักดิ์ศรี ท่านกับเพื่อนรักได้ทุนไปเรียนต่อที่มหาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ค เรียนจบแล้วเพื่อนท่านตัดสินใจทำงานต่อที่สหรัฐ ส่วนท่านกลับมาเพื่อใช้สองมือร่วมกอบกู้ญี่ปุ่นจากซากปรักหักพัง ถึงวันนี้มองดูญี่ปุ่นแล้วท่านภาคภูมิใจ อย่างน้อยท่านมีส่วนร่วมสร้างประเทศใหม่กระทั่งรุ่งเรืองอย่างนั้น ส่วนเพื่อนของท่านบ่นให้ฟังอยู่บ่อยว่าจมชีวิตอยู่กับความรู้สึกแสนเสียดายที่ไม่มีส่วนร่วม ท่านบอกว่าหัวใจของเราตอบทุกคำถามได้ดีที่สุดว่าส่วนลึกแล้วเราต้องการอะไร อยากได้ชีวิตกับอนาคตแบบไหน อยากตอบบรรพบุรุษของเราอย่างไรผมฟังเรื่องราวของหมอซูซูกิแล้วตัดสินใจกลับเมืองไทย อย่างน้อยมีโอกาสร่วมสร้างสังคมสร้างประเทศแม้ทำได้ไม่มาก แม้แรงเสียดทานมีมากมาย แต่ถึงอย่างไรมองประเทศไทยในวันนี้ยังเห็นคุณค่าของตนเองได้บ้าง หากในวันนั้นตัดสินใจใช้ชีวิตในอเมริกาหรือยุโรปคงเสียดายและเสียใจเหมือนเพื่อนของหมอซูซูกิที่ตัดสินใจผิดอย่างนั้นผมมีโอกาสเจอะเจอผู้คนมากมาย ได้ทำงานกับผู้คนหลายระดับ ชีวิตของสังคมไม่ต่างจากชีวิตของผู้คนในสังคมสักเท่าไหร่ ผ่านชีวิตมานาน พลาดพลั้งมามาก ทว่าลองดูเอาเถอะถึงวันนี้ เรากำลังพบโอกาสดี ข่าววันนี้การพัฒนาประเทศไทยไปได้ดีที่สุดในอาเซียน เงินเฟ้อต่ำที่สุด ระบบโครงสร้างพื้นฐานพัฒนาไปได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายด้านที่ต้องร่วมกันทำ หากยังมีแรง ผมยังฝันที่จะร่วมทำ ร่วมสร้าง ยังมั่นใจอย่างนั้น ความมุ่งมั่นยังคงอยู่ ไม่เคยเปลี่ยน